บทที่ 20 เหตุร้าย (125%)

แล้วก็ฝันอีกหน ก่อนจะสะดุ้งเฮือกเมื่อมือถือดังขึ้น

มาเล่นกันเถอะ!

ข้อความที่ปรากฏตรงหน้าจอมือถือทำให้ร่างบางตัวแข็งทื่อ เบิกตาโพลง เย็นยะเยือกไปถึงขั้วหัวใจ เธอยอมรับว่ากลัวผี แต่ก็ไม่ได้เข้าขั้นงมงายจนสติแตก คิดในอีกแง่หนึ่งอาจมีใครบางคนกำลังเล่นตลกกับเธอ

แน่นอนคนตายทำอย่างนี้ไม่ได้

ความคิดฟุ้งซ่านแกมหวาดหวั่นตีกันให้วุ่น ก่อนที่เสียงหนึ่งจะดังขึ้น

แก๊ก!

คราวนี้ร่างอวบอิ่มถึงกับชะงักกึก ลมหายใจสะดุด สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเงี่ยหูฟังอยู่หลายนาที แต่กลับไม่พบความผิดปกติอะไร จึงพ่นลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

“หูฝาดมั้ง”

เสียงผาดแผ่วพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะล้มตัวลงนอน แต่ยังไม่ทันจะได้หลับตา เสียงประหลาดก็ดังขึ้นอีกครั้ง แถมครั้งนี้มันยังดังชัดเจนกว่าคราแรก จนเธอแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้หูฝาดอย่างที่คิด

ถามว่าเธอกลัวไหม

แน่นอนเธอกลัว

กลัวทั้งผีและคน

แต่บูรณิมาไม่คิดว่าวิญญาณของพ่อและแม่ตัวเองจะมาหลอกหลอน ถึงแม้จะเคยได้ยินคนพูดว่าวิญญาณผีตายโหงเฮี้ยนสุดๆ โดยเฉพาะตอนที่เพิ่งตายใหม่ๆ

“พ่อกับแม่คงไม่มาหลอกบี๋หรอกใช่ไหมคะ”

เสียงสะท้านพึมพำ ขณะยกมือพนมไหว้ แล้วทันใดนั้นไฟในบ้านก็ดับพรึ่บ ทำเอาร่างอวบสะดุ้งเฮือก เบิกตาโพลงในความมืด ลมหายใจเริ่มขาดเป็นห้วงๆ ความกลัวแล่นวาบจับขั้วหัวใจ

วินาทีถัดมาเสียงหมาละแวกนั้นก็พร้อมใจกันหอนโหยหวนชวนขนลุก

บรู๋ววววววววว!!!

หลังจากพยายามรวบรวมสติที่แตกกระเจิง เพราะความแตกตื่นกับเหตุการณ์ประหลาดที่กำลังเผชิญ มือเรียวก็ควานหาพระที่ซุกไว้ใต้หมอน นำมาคล้องคอ ยกมือสาธุท่วมหัว ก่อนจะลนลานหยิบโทรศัพท์มาต่อสายหาการไฟฟ้าเพื่อแจ้งว่าไฟที่บ้านเธอดับ ทั้งที่บ้านหลังอื่นไฟก็ยังมาตามปกติ

น่าแปลกเสียจริง!

หากไม่มีคนกำลังเล่นตลกกับเธอ ก็อาจเป็นวิญญาณของพ่อกับแม่ที่ยังวนเวียนอยู่ที่บ้าน เพราะคนตายใหม่ๆ วิญญาณก็อาจจะยังไม่ไปไหน หรือไปไหนไม่ได้ โดยเฉพาะคนที่ฆ่าตัวตาย พระท่านว่ามันบาปหนักมาก ยากที่จะหลุดพ้นและไปสู่สุคติได้ง่ายๆ

เช้าวันรุ่งขึ้น บูรณิมาตื่นมาด้วยสภาพโทรมสุดๆ ดวงตาทั้งสองข้างบวมเป่งเพราะผ่านการร้องไห้อย่างหนักในช่วงค่อนรุ่งที่ผ่านมา เนื่องจากสะดุ้งตื่นเพราะฝันว่าพ่อกับแม่มาหาด้วยสภาพน้ำตานองหน้า บอกว่าทรมานสุดๆ และเป็นห่วงเธอ วิญญาณของทั้งคู่ยังมีห่วง นั่นก็คือตัวเธอ แต่บูรณิมาบอกพวกท่านว่าไม่ต้องห่วงเธอ เธอดูแลตัวเองได้ ให้พ่อกับแม่สบายใจ และจากไปอย่างหมดห่วง แต่ทั้งคู่ก็ไม่พูดอะไรนอกจากเอาแต่ร้องไห้

แล้วอย่างนี้จะให้เธอทำใจได้ยังไงไหว

หลังจากสลัดความฟุ้งซ่านและความเศร้าใจออกไป ร่างอวบก็เดินไปเปิดตู้เย็น ก่อนจะเบ้หน้า เมื่อพบว่าตู้เย็นร้าง แทบจะไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่เลย นอกจากนมและไข่ ซึ่งนั่นก็ทำให้เธออดคิดถึงแม่ไม่ได้ หากแม่ยังอยู่ตู้เย็นคงไม่ว่างเปล่าเช่นนี้ อย่างน้อยจะต้องมีเนื้อหมู หรือไม่ก็เนื้อไก่ ติดตู้เย็นไว้ตลอด

“เฮ้อ…”

หลังจากถอนหายใจแรงๆ มือเรียวก็ฉวยเอาแกลลอนนมออกมาจากตู้เย็น ก่อนจะเดินไปทรุดกายลงนั่งตรงโต๊ะกินข้าว เทนมใส่แก้ว หยิบถุงขนมปังมาเปิด ยกขึ้นกัดหนึ่งคำ แล้วยกนมดื่มตามอึกใหญ่ ตอนนี้สภาพของเธอไม่ได้คลั่งไคล้ของกินอย่างที่ผ่านมา ความเศร้าจากการจากลาของบุพการีแบบกะทันหันทำให้ยังทำใจไม่ได้ ไม่นึกอยากจะกินอะไรเสียด้วยซ้ำ หากแต่ก็นึกหวั่นว่าอาการโรคกระเพาะจะกำเริบ เลยต้องหาอะไรยัดลงท้องประทังชีวิต

Rrrrrrrr…

ระหว่างที่กำลังกินขนมปังกับนมอย่างง่ายๆ ตามสไตล์คนไม่มีกะจิตกะใจทำอะไรอยู่นั้น เสียงมือถือที่วางอยู่บนโต๊ะก็ดังขึ้น บูรณิมายัดขนมปังที่เหลือเกือบครึ่งแผ่นใส่ปากในคำเดียวจนเต็มกระพุ้งแก้ม เคี้ยวเร็วๆ แล้วกลืนลงท้อง จากนั้นก็คว้าแก้วนมมาดื่มรวดเดียวหมด ก่อนจะฉวยโทรศัพท์มากดรับสาย

“บู้บี้เราเพิ่งรู้ข่าว เรื่องพ่อกับแม่เธอ เธอโอเคหรือเปล่า ให้เราไปหาไหม”

นลินนิภาถามไถ่ร้อนรนทันทีที่บูรณิมากดรับสาย พอเพื่อนซี้แสดงความอาทรออกมาหญิงสาวก็แทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่ ความรู้สึกตอนนี้มันทั้งเศร้า หดหู่ และอ้างว้าง หากมีใครสักคนคอยอยู่เคียงข้างก็คงจะดีไม่น้อย

“นนนี่อยู่ไหน?”

ถามเพราะก่อนหน้านี้ติดต่ออีกฝ่ายไม่ได้ นลินนิภาชอบเป็นอย่างนี้อยู่เป็นประจำ ชอบผลุบๆ โผล่ๆ หากไม่อยากติดต่อกับใครก็จะหายหน้าและปิดโทรศัพท์ไปเสียดื้อๆ

“เอ่อ…เรามาทำธุระต่างจังหวัด แต่ไม่เป็นไร เรากลับไปหาเธอได้”

น้ำเสียงอึกอักเหมือนลำบากใจทำให้บูรณิมากล้ำกลืนความต้องการเอาไว้ เพราะถึงแม้อีกฝ่ายจะออกตัวในทีแรกว่าให้มาหาไหม แต่เธอก็ไม่อาจกล่าวถ้อยคำเห็นแก่ตัวออกไป

“ไม่เป็นไรหรอก เธอทำธุระเถอะ เราโอเค”

“บู้บี้โอเคแน่นะ”

คนโทรมาเอ่ยถามย้ำด้วยความเป็นห่วง

“อืม เราโอเค โอเคจริงๆ”

ตอบไปอย่างนั้น แต่น้ำเสียงกลับติดจะสะท้านอย่างกลั้นไม่ไหว เธอจะโอเคได้ยังไง ในเมื่อเพิ่งสูญเสียทั้งพ่อและแม่ไปในเวลาเดียวกัน แถมยังเป็นการจากลาอย่างไม่ทันตั้งตัว

การจากลาโดยไม่มีโอกาสแม้แต่ล่ำลาทำให้เธอเสียศูนย์ เหมือนว่าโลกทั้งใบถล่มทลายลงตรงหน้า เหมือนกับว่าสิ่งที่เคยมีมาทั้งหมดได้สูญสลายไปในชั่วพริบตา นั่นก็เพราะว่าพ่อกับแม่เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของเธอมาแต่เล็กจนโต ด้วยความที่เป็นลูกคนเดียว ทำให้เธอสนิทสนมและผูกพันกับพ่อแม่มาก พอพวกท่านมาด่วนจากไปเธอจึงรู้สึกเคว้งคว้าง มืดมน ไม่รู้ว่าจะก้าวเดินต่อไปข้างหน้ายังไงไหว ได้แต่พยายามปลอบใจตัวเอง เตือนสติตัวเองว่าให้เข้มแข็งเข้าไว้

คนตายก็หมดเวรหมดกรรม คนอยู่ก็ต้องสู้ต่อไป ตราบใดที่ยังมีลมหายใจก็ต้องดิ้นรนก้าวต่อไปข้างหน้า ถึงแม้ว่าเส้นทางที่ว่านั้นจะมืดมนก็ตาม

บทก่อนหน้า
บทถัดไป